หุ้นน่าเก็บตลาดพักฐาน

เริ่มโดย admin, สิงหาคม 03, 2014, 11:42:35 AM

« หน้าที่แล้ว - ต่อไป »

admin

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้านี้ ณ เวลา 9.38 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 32.17/21 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลง หลังตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดวานนี้ร่วงลงอย่างหนัก  เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจในต่างประเทศ รวมถึงข่าวการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลอาร์เจนตินา และตัวเลขเงินเฟ้อยูโรโซนที่ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงพักฐานต่อ ขณะที่มีปัจจัยลบกดดันเพิ่มจากต่างประเทศ คาดดัชนีทรุดตัวลงทดสอบแนวรับ 1,480 จุด แต่มองว่าเป็นโอกาสการเข้าซื้อลงทุนที่ดี หุ้นเด่นเลือก CPALL-KBANK-KTB-STEC-SCC-BANPU-IFEC-AAV-AOT-SAMART-QH-LPN-SPALI-CK-BECL-PTT-PTTEP-PYLON-FORTH และ PACE






บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (1 ส.ค.) ว่า สำหรับแนวโน้ม SET ระยะสั้น มีแนวโน้มถูกกดดันจาก 1) สัญญาณ ?พักฐาน? ทางเทคนิค หลังปิดตลาดต่ำกว่า MAV20 วัน หรือเส้นค่าเฉลี่ย 1 เดือนบริเวณ 1,518 จุด

เมื่อวานนี้ 2) การปรับลดลงของตลาดหุ้น Dow Jones 1.88% เมื่อคืนที่ผ่านมา จากความกังวลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เร็วกว่าคาด และปัญหาการชำระหนี้พันธบัตรของอาร์เจนตินา มูลค่า US$5.39 ล้าน ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจเดือน มิ.ย.เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว การบริโภค -1.1% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน การลงทุน -2.7% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน การผลิตภาคอุตสาหกรรม -6.6% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน

การปิดตลาดต่ำกว่าแนวรับ 1,518-1,520 จุด เป็นสัญญาณ ?ลดพอร์ต? เป็นครั้งที่ 2 อีก 20-30% โดยเราแนะนำ ?ถือ? หุ้นในสัดส่วน 50-60% ของพอร์ต เพื่อรองรับการ ?พักฐาน? ของ SET โดยมีแนวรับหลักที่บริเวณแนวรับตามกรอบ Uptrend Channel ที่ 1,470 จุด ซึ่งเป็นจุด ?ซื้อ? หุ้นกลุ่มรับเหมา (CK) อสังหาฯ (QH LPN SPALI) สื่อสาร (SAMART) ท่องเที่ยว (AOT)



บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (1 ส.ค.) ว่า การปรับฐานยังมีอยู่ นอกจากความกังวลต่อการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นแล้ว ปัญหาการผิดชำระหนี้ในอาร์เจนตินา เป็นประเด็นกดดันใหม่ ยังแนะปรับพอร์ต โดยให้ถือหุ้นปันผล + P/E ต่ำ + upside สูง BECL (FV@B45), PTTEP (FV@B195) และยังเลือก PYLON (FV@B8.60) เป็น Top pick



บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (1 ส.ค.) ว่า ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ยังมีช่วงลง แต่คงคำแนะนำให้สะสมหุ้น

KGI มอง SET วันศุกร์เปิดลงต่อก่อนเด้ง และหากต่ำกว่า 1,490 จุด (PE 15 เท่าบนกำไร บจ. ปีนี้) ถือว่าเชิงพื้นฐานน่าสนใจ แนะซื้อสะสม ทั้งนี้หุ้นโลกโดนปัจจับลบหลายอย่าง i) อาร์เจนตินาผิดนัดชำระหนี้บางส่วน ii) อิสราเอลระดมทหาร 1.6 หมื่นนายเตรียมบุกกาซาต่อ iii) ยูโรโซนรายงานเงินเฟ้อก.ค. +0.4% ต่ำกว่าคาด และสร้างความกังวลต่อเงินฝืดในยุโรป iv) สหรัฐฯ รายงานตัวเลขค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นมากสุดรอบหลายปี กระตุ้นแรงขายเพราะกลัวเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเร็ว อย่างไรก็ดีนักเศรษฐศาสตร์

KGI ยังมองเฟดไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย และความกังวลต่างๆ น่าเป็นช่วงสั้น ส่วนปัจจัยภายในประเทศยังเป็นบวก จึงให้เน้นสะสมหุ้นช่วงผันผวนเช่นเดิม

หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน จังหวะตลาดฯย่อ เน้นรับ แบงก์ (KBANK, KTB) รับเหมาฯ (STEC) วัสดุฯ (SCC) พลังงาน (BANPU, IFEC) ท่องเที่ยว (AAV)



บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (1 ส.ค.) ว่า ลำดับการเข้าซื้อที่ดีต่อไปบริเวณ 1,480 จุด ...โอกาสของนักลงทุนระยะกลาง-ยาว, กองทุน LTF และ RMF, กองทุน Trigger Fund

ยังเห็นถึงภาพแนวโน้มใหญ่ขาขึ้น ?การปรับฐานรอบนี้เป็นเพียงส่วนเล็กในภาพใหญ่!!!

การปรับฐานของตลาดหุ้นไทยที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 4 วันที่ผ่านมา ถือว่าสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยพอสมควร หลังไม่เห็นถึงการปรับฐานที่แรงมาเป็นเวลานานแล้ว หลังจากที่ SET ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา (จนทำให้ผู้เล่นบางส่วนตกรถไฟขาขึ้นไปแล้วก่อนหน้านี้)

ส่วนการปรับฐานใหญ่รอบนี้ มองว่ามีเหตุผลสำคัญที่สุดมาจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นกันโดยทั่วไป แต่ไม่ใช่เหตุผลสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงในเชิงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่อย่างใด ดังนั้น ยังคงมองว่า การปรับฐานระยะสั้นเป็นสำหรับนักลงทุนในการ shopping หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งควบคู่กับผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงเข้าพอร์ตลงทุน ...เน้นใช้กลยุทธ์การทยอยซื้อตามลำดับขั้น

ส่วนวันนี้ คาดว่า SET Index จะทรุดตัวลงทดสอบแนวรับ 1,480 จุด แต่มองว่าเป็นโอกาสการเข้าซื้อลงทุนที่ดี โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวในช่วง 1,480-1,490 จุด (อาจ +/- ไม่เกิน 10 จุด)

หุ้นเด่นวันนี้: แนะนำสะสมหุ้น PTT-PTTEP-CPALL



บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (1 ส.ค.) คาดการณ์มุมมองทางเทคนิค SET แกว่งตัวผันผวนเมื่อวานนี้อีก โดยระดับราคาปิดของ SET ที่เคยเคลื่อนต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน ได้เคลื่อนลงมาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยที่ใหญ่ขึ้นคือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันแล้ว เป็นการแสดงถึงทิศทางของตลาดเป็นแนวโน้มลงชัดเจนยิ่งขึ้น ขณะที่ MACD ได้ปรับลงมาอีกอยู่ที่ 5.74 ดังนั้น SET จะมีโอกาสปรับลงมาทดสอบแนวรับใหม่ที่ 1,485 จุด

แนวโน้มของตลาดจะเคลื่อนไหวที่กรอบแนวรับ 1,490-1,510 จุด

หุ้นที่เลือกวันนี้มีโอกาสปรับขึ้น แนะนำซื้อเก็งกำไร FORTH และ PACE
บจก.สยามเอวีเอส
63 Moo 2 แพรกษาใหม่ เมือง สมุทรปราการ
นำเข้า-จำหน่าย เครื่องจักร cnc มือสองญี่ปุ่น
ติดต่อ คุณ ธนเดช  084-387-2401
EMAIL kiattub@gmail.com
คลิกลิ้งแอดไลน์ได้เลย Line id : boysiamavs
http://line.me/ti/p/~boysiamavs

    

admin

การลงทุนระยะยาวแบบ Value Investment นั้น   ต้องการศรัทธาและความเชื่อมั่นในหลักการและกลยุทธ์บางอย่างที่แรงกล้าที่จะช่วยให้เราถือหุ้นระยะยาวได้อย่างถูกต้อง  เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักลงทุนจะสามารถทนถือหุ้นต่อเนื่องยาวนานเป็นปี ๆ  หรือหลาย ๆ  ปี ผ่านช่วงเวลาที่หุ้นขึ้นไปเร็วและสูงหรือสูงมาก  และผ่านช่วงเวลาที่หุ้นตกลงมาเร็วและมากหรือตกลงมามากโดยไม่ได้ทำอะไร  เหตุเพราะคนเรานั้นต่างก็มีอารมณ์ที่จะสั่งให้ร่างกายและความคิดตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว  ดังนั้น  ในช่วงเวลาที่ยาวนานของการลงทุนก็คงจะมีโอกาสบางครั้งที่เราจะตัดสินใจขายหุ้นที่เราถืออยู่ออกไปโดยใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์ที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เกิดขึ้น   เช่นเดียวกัน  ในบางช่วงเวลา  เราก็จะใช้เหตุผลวิเคราะห์หุ้นแล้วก็พบว่าหุ้นตัวที่เราถืออยู่นั้นมีราคา  ?แพง? เกินไปแล้ว  ถึงเวลาที่จะต้องขายและเปลี่ยนตัวเล่นใหม่  ดังนั้นเราก็จะตัดสินใจขายหุ้นทิ้งทั้ง ๆ  ที่เพิ่งจะลงทุนมาได้ไม่นานแต่ราคาหุ้นขึ้นไป ?เกินคาด? และเกินกว่า ?พื้นฐาน?  ของกิจการ

           ในบางครั้งอีกเช่นกัน  หลังจากที่เราเข้าถือหุ้นบางตัว   เราก็อาจจะได้รับข่าวสารข้อมูลที่ดูเหมือนว่าจะเป็น  ?ข้อมูลภายใน?  เช่น  บริษัทอาจจะมีกำไรถดถอยลงในไตรมาศที่จะถึงนี้  หรือบริษัทอาจจะประสบปัญหาบางอย่างที่จะทำให้ผลประกอบการลดลงแต่ไม่กระทบกับผลการดำเนินงานระยะยาว  นี่ก็อาจจะทำให้เราตัดสินใจขายหุ้นทิ้งเพราะเราคิดว่าเมื่อข้อมูลนั้นถูกเปิดเผยออกมา  ราคาหุ้นก็จะลดลง  ดังนั้น  เราจึงตัดสินใจขายหุ้นตัวนั้นเสียก่อน   ทั้งหมดนั้น  เป็นเหตุผลบางส่วนที่ทำให้การลงทุนระยะยาวเป็นเรื่องที่ยากสำหรับนักลงทุนจำนวนมาก

          เพื่อที่จะลดความลำเอียงที่จะทำให้เราขายหุ้นเร็วเกินไปเนื่องจากเหตุผลของอารมณ์หรือเหตุผลที่อิงกับการวิเคราะห์หุ้นแบบระยะสั้น  ผมเสนอว่าเราควรจะต้องมี  ?บทสวด?  เหมือนกับการสวดมนต์ที่เราท่องเอาไว้จนขึ้นใจเพื่อที่จะเตือนเราตลอดเวลาไม่ให้เราไขว้เขวออกนอกแนวทางที่ถูกต้อง   บทสวดเหล่านั้นมีมากมายและขึ้นอยู่กับนักลงทุนแต่ละคนที่จะกำหนดขึ้น  สำหรับผมเองนั้น  บทสวดต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมรู้สึกว่าสนองต่อแนวทางการลงทุนระยะยาวได้ค่อนข้างดี

          บทแรกก็คือ  ?ความมั่งคั่งของเราขึ้นอยู่กับผลประกอบการในระยะยาวของบริษัท?  นี่คือสิ่งที่เป็นหัวใจของการลงทุนแบบ VI อย่างแท้จริง  ความหมายก็คือ  ถ้าบริษัท  ?รวย?  เราก็  ?รวย?  ดังนั้น  หน้าที่ของเราก็คือ  ถือหุ้นของบริษัทที่จะรวยหรือมั่งคั่งในระยะยาวโดยอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องไปคิดเรื่องอื่น  เช่น  ซื้อหุ้นที่จะมีคนเข้ามาซื้อต่อมากมายด้วยเหตุผลต่าง ๆ  ซึ่งรวมถึงผลประกอบการที่จะเพิ่มขึ้นมากในระยะสั้นแต่ไม่แน่นอนในระยะยาว  เป็นต้น    ดังนั้น  ถ้าเราท่องบทสวดข้อนี้  เราก็จะถือหุ้นได้ยาวขึ้นตราบเท่าที่ผลประกอบการระยะยาวของบริษัทนั้นยังดีอยู่เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขายหุ้น

          บทสวดที่สองก็คือ  ?อย่าตัดสินใจจากสิ่งที่เราไม่รู้? ความหมายข้อนี้จะต้องอธิบายเพิ่มเติมเนื่องจากความเป็นจริงที่ว่าในตลาดหุ้นนั้น  แทบจะไม่มีอะไรที่เราจะรู้ว่าต้องเกิดขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์  ไม่มีอะไรที่เราสามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์  คนที่คิดว่าตนเอง  ?รู้?  นั้น  จำนวนมากเขา  ?ไม่รู้?  คำว่ารู้ในความหมายของผมก็คือ  เป็นการรู้ถึง  ?ความน่าจะเป็น?  ของสิ่งที่จะเกิดขึ้น   เช่น  ผมคิดว่าอีก 3 ปีข้างหน้า  จำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะมากกว่าปีนี้ไม่ต่ำกว่า 10%  หรือ  ยอดขายของกิจการค้าปลีกสมัยใหม่ที่เราถืออยู่นี้  ในอีก 3 ปีข้างหน้าน่าจะโตขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 20%  โอกาสที่ผมจะคาดการณ์ถูกต้องน่าจะไม่น้อยกว่า 80%-90%  ในกรณีแบบนี้  ผมคิดว่าผม  ?รู้?  และถ้าผมจะตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับหุ้น  ผมก็สามารถอิงกับข้อมูลนี้   ตรงกันข้าม  ผมคิดว่าผมไม่รู้ว่าราคาน้ำมันดิบหรือถ่านหินในอีก 3 ปีข้างหน้าจะขึ้นหรือลง  ผมคิดว่าโอกาสที่มันจะขึ้นนั้นมีเพียง 50%  เท่า ๆ  กับโอกาสที่จะลง  ในลักษณะแบบนี้  ผมจะบอกตัวเองว่า  ?ผมไม่รู้?  ดังนั้น  ผมจะไม่ตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นโดยอิงกับราคาน้ำมันหรือถ่านหิน  ถ้าผมจะซื้อหุ้นเหล่านี้  ผมก็จะต้องตัดสินใจจากเหตุผลอื่นที่เรา ?รู้? ด้วยความเป็นไปได้อย่างน้อยอาจจะ 70%-80% ขึ้นไป

           บทสวดที่สาม  หุ้นที่ดีเยี่ยมนั้นควรจะต้องมี  ?ยอดขายเพิ่มขึ้น  กำไรเพิ่มขึ้น  และ ปันผลเพิ่มขึ้น?  งวดแล้ว  งวดเล่า  ต่อเนื่องยาวนาน  และถ้าบริษัทยังรักษาสถิติแบบนั้นได้  เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขายหุ้น  ยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้น  ควรเป็นยอดขายสินค้าตามปกติของบริษัทและการเพิ่มนั้น  ควรจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยประมาณ 2 เท่าของอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจหรือประมาณ 10% ต่อปีขึ้นไป   กำไรที่เพิ่มขึ้นนั้น  ควรจะดูทั้งกำไรรวมของบริษัทที่ควรโตอย่างน้อยปีละ 10%  และกำไรต่อหุ้นที่ควรจะเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน  และสุดท้ายก็คือ  ปันผลของบริษัทควรจะมีการปรับขึ้นตามสัดส่วนกับกำไรของบริษัท  ถ้าเราพบว่าหุ้นที่เราถืออยู่มีผลประกอบการแบบนี้  เราก็ไม่ต้องสนใจว่าจะขายหุ้นไม่ว่าราคาจะผันผวนอย่างไร อย่าลืมว่าเราต้องการรวยไปกับบริษัท  เราไม่ได้ต้องการรวยจากการขายหุ้น

           อย่างไรก็ตาม  ยอดขายเพิ่ม  กำไรเพิ่ม  ปันผลเพิ่ม ในอัตราเท่านั้นเท่านี้  อาจจะไม่ต้องถึงกับเป็นกฎตายตัวร้อยเปอร์เซ็นต์   ในบางงวด  ยอดขายอาจจะพลาดเป้าบ้าง  ยอดขายได้แต่กำไรอาจจะพลาด  หรือแม้ว่ายอดขายและกำไรอาจจะเป็นไปตามที่กำหนด  แต่ปันผลอาจจะไม่ได้ตามที่คิด  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นได้  แต่โดยรวมแล้ว  ทิศทางควรจะเป็นอย่างนั้นนั่นคือ  ในภาวะปกติ  เราพอจะคาดการณ์ได้ด้วยความถูกต้องอาจจะกว่า 70%-80% ว่า  ยอดขายจะต้องเพิ่มอย่างน้อย 7%-8%  กำไรต่อหุ้นเพิ่มอย่างน้อย 10%  และปันผลต่อหุ้นก็เพิ่มอย่างน้อย 10%  เช่นเดียวกัน  และถ้าเราพบว่าหุ้นตัวที่เราถืออยู่ยังมีผลประกอบการแบบนี้   เราก็ถือหุ้นต่อไป   ถ้าหุ้นที่เราถืออยู่มีผลประกอบการหย่อนไปจากนี้หรือกลายเป็นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ   เราก็ต้องตรวจสอบและพิจารณาดูว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะหรือไม่  ถ้าใช่  เราก็ถือหุ้นต่อไป  ถ้าไม่ใช่  และเราคิดว่าต่อไปบริษัทอาจจะไม่สามารถดำรงสถานะที่  ?รายได้เพิ่ม  กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม?  ต่อเนื่องยาวนานแล้ว  เราก็อาจพิจารณาขายหุ้นทิ้ง

           สุดท้ายในกรณีที่เราอาจจะอยากขายหุ้นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม  บางทีเราอาจจะต้องกลับไปสวดมนต์บทที่ว่า  มันเป็นกิจการที่เป็น  ?Monopoly? หรือมันมี  ?อำนาจผูกขาด?   สูง  นั่นหมายความว่าลูกค้าของบริษัทไม่มีทางเลือกอื่นมากนักหรือไม่มีทางเลือกเลย  อย่างไรเสียก็ต้องใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัท   คำว่าอำนาจผูกขาดนี้  อาจจะมาจากหลาย ๆ  ทางรวมถึงการที่บริษัทมีความสามารถหรือมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันสูงกว่าคู่แข่งมาก ๆ  จนเสมือนหนึ่ง  ?ผูกขาด?  ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถทำกำไรที่ค่อนข้างมั่นคงแน่นอนและคู่แข่งเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งธุรกิจและกำไรได้ยากมากด้วย   เหตุผลที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นบทสวดด้วยนั้น   เนื่องจากว่าในบางครั้งธุรกิจหรือบริษัทที่เราซื้อหุ้นลงทุนนั้น  เราอาจจะพบปัญหาหรือข้อเสียหรือบริษัทอาจจะประสบปัญหาบางอย่างจนทำให้เราท้อใจอยากขายหุ้นทิ้ง  แต่ก่อนที่เราจะทำอย่างนั้น  เราก็ควรจะคำนึงถึงประเด็นที่ว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทที่มีจุดเด่นที่สำคัญมากอย่างหนึ่งนั่นก็คือ  มันมีอำนาจผูกขาดที่สูงทีเดียวหรือสูงลิ่ว  และเราต้องคิดต่อไปว่าอำนาจนั้นมีประโยชน์มากแค่ไหนและจะสามารถทำเงินในภายหลังหรือไม่  ถ้าใช่  เราก็อาจจะพิจารณาถือหุ้นต่อไป

          และทั้งหมดนั้นก็คือส่วนหนึ่งของ ?บทสวด VI?  ที่ผมใช้ในการลงทุนถือหุ้นระยะยาว  ซึ่งมันทำให้ผมถือหุ้นได้ยาวขึ้นและได้ผลดีในการสร้างผลตอบแทนระยะยาว  ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันดีกว่าการ  ?ซื้อและขายหุ้น? ไปเรื่อย ๆ  ตามสถานการณ์ไหม   อย่างไรก็ตาม  การลงทุนระยะยาวแบบ VI เป็นสิ่งที่ผมเลือกและเป็นสิ่งที่ผมชำนาญ  ดังนั้น  ผมต้องมีกลยุทธ์และหลักการที่สอดคล้องและเหมาะสมที่สุดที่ผมต้องยึดถือจนกลายเป็นบทสวดดังกล่าว


Posted by nivate at 11:33 AM in โลกในมุมมองของ Value Investor
Responses (5)
บจก.สยามเอวีเอส
63 Moo 2 แพรกษาใหม่ เมือง สมุทรปราการ
นำเข้า-จำหน่าย เครื่องจักร cnc มือสองญี่ปุ่น
ติดต่อ คุณ ธนเดช  084-387-2401
EMAIL kiattub@gmail.com
คลิกลิ้งแอดไลน์ได้เลย Line id : boysiamavs
http://line.me/ti/p/~boysiamavs